เครียดมากมายเอายังไงดี กับ 5 แนวทางก่อนจะทนไม่ได้
เครียด! สิ่งไม่น่าเพ่งพิศมัยภายหลังพ้นวัยเด็กมา lucia168 นอกเหนือจากความเคร่งเครียดของมนุษย์จะไม่เหมือนกันแล้ว แต่ละความเคร่งเครียดก็หรูหราแตกต่างกันด้วย ถ้าเกิดมียังไม่มากมาย การจัดการความตึงเครียดนั้นคงจะไม่ยาก แต่ว่าถ้าเกิดขึ้นชื่อว่าเริ่มทนไม่ได้พวกเราจะทำยังไงดี?
จะว่าไปก็ล่อแหลมอยู่บ้างตรงที่ แบบไหนเรียกว่าทนไม่ได้? ด้วยเหตุว่าถ้าทนไม่ได้จริงๆมันย่อมระเบิดออกมาในแบบอย่างหนึ่ง lucia168 ซึ่งไม่ใช่เรื่องดี การจัดการความเคร่งเครียดจำเป็นต้อง “ทำในขณะที่ยังไหว” เพราะว่ายังมีสติสัมปชัญญะอยู่ ก่อนจะหนักจนกระทั่งไม่ไหวแล้วจริงๆ
เมื่อพินิจดูเหมือนจะพบว่า ความตึงเครียดมักมีการไต่ลำดับขึ้นไป ตั้งแต่ภาวการณ์ สงสัย เป็นห่วง (เริ่มเครียด) ระแวง จิตตก (หนักขึ้นมาหน่อย) รวมๆแล้วมักเป็นความเครียดต่อ “สิ่งที่ยังไม่กำเนิด” หรือ “ยังมาไม่ถึง”
หนักขึ้นมาก็เป็นมี “อะไรบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว” ก็เลยเครียด บนความนึกคิดอาทิเช่น หามูลเหตุไม่พบ, ไม่รู้เรื่องว่าเพราะอะไรจำเป็นต้องกำเนิดกับพวกเรา, ควบคุมผลพวงมิได้, แก้ไขปัญหามิได้ หรือหาทางออกมิได้ แล้วก็ยิ่งถ้าเกิดมีเหตุหลายประการรวมกัน ถึงที่ตรงนี้คงจะนับว่าเครียดหนักสุดแล้ว
แต่ ไม่ว่าความเคร่งเครียดจะเป็นแบบอย่างไหน ระดับไหน มันไม่มีความจำเป็นที่ต้องมีมาตรฐานไปวัด หรือไปเทียบกับผู้ใดกัน เพราะเหตุว่าถ้าหากเริ่มคิดว่าจัดแจงมิได้ ก็นับว่าพวกเราเริ่มไม่ไหวแล้ว ที่สำคัญจะเครียดมากมายน้อยพวกเราก็ไม่สมควรเครียด ไหมควรที่จะเก็บเอาไว้เลย
5 แนวทาง ลด ละ ปรับแต่ง เวลาที่เครียดมากมาย
อธิบายหน่อยนึงว่า ไม่ใช่จำเป็นต้องทำทั้งยัง 5 อย่าง แม้กระนั้นควรจะทำสักอย่างเพื่อหาทางระบายความตึงเครียดออกไปจากจิตใจพวกเรา
1. โยน! (กล่าว)
หลายความตึงเครียด มีเหตุมาจากการ “ไม่กล้าพูด” ไหมต้องการกล่าวก็ตาม แต่ว่าหลายคราวการพูดออกไปเป็นการโยนปัญหากลับไปที่ตัวการได้ดิบได้ดีไม่น้อย
โดยเป็นอย่างมากในผู้ที่ธรรมดาพูดน้อย มักมี (Mindset) เดียวกันในแบบที่ว่า ที่ไม่พูดน่าฟังคิดมามากมาย พอเพียงไม่บอกก็เลยจะต้องคิดมาก (ด้วยเหมือนกัน) การจึงควรกล่าวมักคิดมากว่า บางทีอาจกำเนิดอะไรตามมาห่วยแตกกว่าเดิมก็เลยไม่บอก มองวนเวียน กระทั่ง ท้ายที่สุดก็เอาไปคิดมากผู้เดียว 😅
การพูดเป็นการได้ระบายออกในพื้นฐานที่ดีเยี่ยมที่สุด เพียงแต่จะต้องไม่ “คิดไปเอง” ว่าไม่มีผู้ใดต้องการฟัง หรือพูดถึงมาแล้วจะไม่ดีไปเสียหมด แน่ๆว่า “กระบวนการบอก” มันอาจมีผลต่อสิ่งที่จะตามมา แม้กระนั้นหลายๆครั้ง “โยน” ออกไปบ้าง “หากแม้กล่าวถึงแล้วไม่ดีขึ้น แต่ว่าผลสรุปมันสุขใจมากยิ่งกว่าเดิมกว่าหามไว้ผู้เดียว” หรือกล่าวถึงแล้วมันเปลี่ยนเป็นมองมีปัญหาขึ้นมา ก็จริงอยู่ แม้กระนั้นสิ่งที่คือปัญหานั้นบางทีอาจจบลงได้ เพราะเหตุว่าถูกเผยออกมา เสมือนว่าจะต้องยอมเจ็บเพื่อที่เปิดแผล จะได้ล้างแผลบริบูรณ์ ไม่อย่างนั้นถ้าเชื้อโรคไม่ตาย แผลเน่าตอนหลังติดเชื้อโรครักษายาก รุนแรงก็เข้ากระแสโลหิตตายได้อย่างยิ่งจริงๆ..
แต่ว่าถ้าเกิดยังไงๆก็ไม่ได้อยากโยน (ด้วยคำบอกเล่า) การพูดผู้เดียว กับสุนัข กับแมว กับต้นไม้ ก็ยังดียิ่งกว่าไม่บอกเลย โดยพวกเราบางทีอาจรู้สึกว่า นี่เสมือนคนวิกลจริต แม้กระนั้นเชื่อเถอะว่าจุดหนึ่งถ้าเกิดปลดปล่อยจนถึงไม่ไหว พวกเราก็จะแปลงเป็นคนวิปลาสจริงๆเอาได้
ข้อแนะนำเสริมเติม ถ้าเกิดคิดจะกล่าว อย่ากล่าวอย่างกล้าๆกลัวๆหรือ ทีเล่นทีจริง ในเรื่องที่พวกเรากำลังเครียดมากมาย ทัศนคติท่วงท่าส่งผลเป็นอย่างมากสำหรับในการติดต่อสื่อสาร ถ้าหากเมื่อใดพวกเราบอกและก็มีทีท่าที่อีกฝ่ายตั้งรับทราบว่าพวกเรากำลังเป็นจริงเป็นจังหรือเครียด ส่วนมากไม่มีผู้ใดไม่ต้องการยอมรับฟัง
2. หยุดรับข้อมูลชั่วครั้งคราว
ถ้าเกิดพวกเราบอกคนไหนกันว่ากำลังเครียดเรื่องหนึ่งอยู่ บางทีอาจได้ยินคำเสนอแนะที่รู้จักว่า “ก็อย่าไปรับทราบสิ” จะได้ไม่เครียด แท้จริงมันก็ถูก เพียงแค่หลายเรื่องมันไม่รับทราบมิได้ มันทราบไปแล้ว ปัญหามันกำเนิดแล้ว ทั้งบางปัญหาถ้าหากไม่รับทราบก็ยิ่งขาดข้อมูลบางสิ่งสำหรับเพื่อการแก้ไขปัญหา นี้จะต้องใคร่ครวญ หรือทวนมองในพื้นฐานว่า “ทราบเพิ่ม” แล้วพวกเรา “แน่ชัดขึ้น” หรือ “ยิ่งเครียด” ถ้าเป็นความเครียดจากการที่ “เพียงแค่รับเรื่องมา” การหยุดรับข้อมูลเสียบ้างเกิดเรื่องที่สำเร็จ อย่างเช่น การเครียดจากการเสพข่าวสารต่างๆที่มิได้หมายความแค่เพียง ข่าวสารภาคสังคม/การบ้านการเมือง แค่นั้น การรับทราบเรื่องราวจากคนรอบข้าง คนที่อยู่รอบข้างก็ไม่แตกต่างกัน ไม่ฟัง ไม่ติดต่อ กันชั่วครั้งคราวมันก็ช่วยได้
ในส่วนข้อมูลที่ทำให้ “กระจ่างแจ้งขึ้น” ในที่นี้มิได้หมายความเพียงแค่แจ่มชัดขึ้นเสมอ เพราะว่าบางเรื่อง ยิ่งกระจ่างแจ้ง เปลี่ยนเป็น “ยิ่งคิดว่าทำอะไรมิได้” อย่างนี้ก็ยิ่งเครียด ไม่ทราบดีมากกว่า แน่ชัดขึ้นในต่อไปนี้ก็เลยคือ มองเห็นมูลเหตุแน่ชัดขึ้น ทำให้บางทีอาจแก้ไขปัญหาได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น
ในกรณีที่พากเพียรรับข้อมูลเพื่อขจัดปัญหา ก็จะต้องแยกให้ออกเหตุว่า บางเรื่อง “ทราบในตอนนี้ก็ไร้สาระ” เนื่องจากว่าหลายปัญหาจะต้องแก้ไปที่ละข้อ ที่ละจุด ก็รับข้อมูลเฉพาะส่วนนั้น (เท่านั้นเอาให้รอดก่อน) ให้จบไปครั้งละเรื่อง หยุดรับข้อมูลอื่นไปชั่วครั้งคราว หรือ ทราบเฉพาะภาพรวมก็เครียดพอแล้ว การพยายามรับทราบทุกรายละเอียด บางทีอาจเครียดมากมาย และก็หาเรื่องให้แก้อะไรมิได้สักอย่าง ตามที่คงจะรู้ๆกันดีอยู่แล้ว ความเคร่งเครียด ความรู้สึกกลุ้มอกกลุ้มใจส่งผลต่อความนึกคิด และก็การตัดสินใจ
3. ใส่ความสำราญใจ
ฟังมองเข้าใจง่าย แม้กระนั้นอย่าเพิ่งจะก่อน! ด้วยเพราะว่าความรื่นเริงใจมนุษย์เราล้วนแตกต่าง การใส่ความสนุกสนานในที่นี้ ไม่ใช่ หลีกหนีปัญหาอยู่แม้กระนั้นกับสิ่งที่เบิกบาน ที่ผู้คนจำนวนมากเลือกจะหลีกลี้เรื่องจริงของชีวิต หมกมุ่นเผลอไผล ลุ่มหลงไปกับเรื่องไร้สาระเพียงอย่างเดียว คนจำนวนไม่น้อยก็เป็นโดยไม่ได้คาดคิด ช่างอันตรายเปลี่ยนเป็นปัญหาชีวิตที่มากขึ้นสะสมไปอีก
การไปใส่ความเพลิดเพลินนี้ โดยเชิงเคล็ดลับเป็นการเปลี่ยนจุดโฟกัส (switch focus) เป็นการหยุดพึงพอใจในจุดที่เป็นอยู่ หรือในสิ่งที่เครียด ไปพึงพอใจในสิ่งที่บรรเทา พึงพอใจสิ่งที่ถูกใจแทนชั่วครั้งคราว เนื่องจากว่าในใจลึกๆพวกเราอาจจะทิ้งเรื่องเครียดไปในทันที ถาวรเลยไม่มีทางเป็นไปได้
ซึ่งแนวทางลักษณะนี้จะเห็นผลก็เมื่อ สิ่งที่หรรษาหรือสิ่งที่พวกเราเลือกหยุดไปพบนั้น มันจะต้องทำให้พวกเราพอใจจริงๆหรือเพลินใจมากพอกระทั่งลืมเรื่องเครียด หรือความตึงเครียดไปได้ครู่เดียวด้วย จะดำเนินงานอดิเรก เลี้ยงสัตว์ อ่านหนังสือ ดูหนัง ร้อง เล่นกีฬา ท่องเที่ยว ต่อให้ มี Sex ก็ตาม
แล้วก็เสมือนในทุกข้อก่อนหน้านี้ กระบวนการทำแบบนี้ใช่ว่าปัญหา หรือสิ่งที่เครียดนั้นๆจะหมดไป แม้กระนั้นจะต่ำลงมาได้มาก มั่นใจว่าทำให้พวกเรามีสติสัมปชัญญะ มีสติปัญญาที่ดีมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งควรที่จะใช้เวลาให้มากมายเท่าที่พวกเราทำเป็น บางทีอาจเพียงแค่ 1-2 ชั่วโมง หรือ หนีท่องเที่ยว 2-3 วัน ก็ตามทีเหตุการณ์ แต่ละเรื่องราว (*หัวข้อนี้ก็เหมือนที่เคยเขียนเป็นบทความชื่อ “เมื่อเครียดที่สุด ทดลองหยุดนั่งดูหนัง“)
4. ดับสวิตช์ นอน…
การนอนเป็นการพักผ่อนหย่อนใจที่ยอดเยี่ยม เนื่องจากได้พักอีกทั้งกาย ดวงใจ รวมทั้งสมอง เป็นข้อที่รู้เรื่องไม่ยาก แต่ว่าถ้าเกิดเครียดจริงๆพวกเรามักไม่คิดจะทำ หรือเปล่าต้องการจะนอน ในขณะที่นี่เป็นหัวข้อหลักเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าในภาวการณ์ของผู้ที่ “สติหลุด” หรือกำลังจะฟั่นเฟือน คราวแรกนั้น ไม่ว่าจะด้วยปัญหาเกี่ยวกับทางจิต หรือสารเสพติด ส่วนประกอบร่วมของดูเหมือนจะทุกรายเป็นจะ อดหลับอดนอน หลายคืน ก่อนจะทำเรื่องเลวร้าย หรือไม่ก็มีปัญหาทางใจไปถาวร!
ด้วยเหตุดังกล่าวเมื่อเครียดที่สุดแม้ทำเป็น ให้หลับสักตื่น ขั้นต่ำเวลากลางคืนก็จำต้องนอนให้ปกติ หลับไม่ลงเช่นไรก็จะต้องทดลองพากเพียรมอง ดับสวิตช์ตนเองลงบ้าง ถึงแม้ตื่นมาเรื่องที่เครียดยังไม่ไปไหน แม้กระนั้นดีแล้วกว่าปลดปล่อยให้เครียดสะสมไปหนักกว่านี้ เนื่องจากถ้าเกิดเครียดแล้วนอนไม่หลับเมื่อใด มันทำลายสุขภาพที่เกิดขึ้นกับจิตพวกเรามากยิ่งกว่าที่คิดมากทีเดียว
5. ปรับจิตใจ – ปลง
บางทีอาจเป็นข้อที่พวกเรารู้กันอยู่แล้วสูงที่สุด แม้กระนั้นทำยากที่สุด ด้วยเหตุว่าไม่งั้นอาจจะไม่นำพาพวกเรามาในภาวการณ์ที่เรียกว่า “เครียดมากมาย” ได้ ส่วนใดส่วนหนึ่งที่ทำยาก หรือทำไม่ได้ เพียงแต่เพราะว่าตอนนั้นพวกเราลืม หรือกำลังไร้สติบนความกลุ้มอกกลุ้มใจ งงเต็กใดๆ แต่ว่าถ้าหากพอเพียงรำลึกได้ก็ไม่ได้มีความแตกต่างจากข้อก่อน แค่นอนสักตื่นได้ก็ดีแล้วมากมายแล้ว
แม้กระนั้นแม้ว่าก็คิดได้อยู่ว่า ต้องการปลง ต้องการปล่อยวางแม้กระนั้นทำไม่ได้นั้น ก็พอเพียงจะมีแนวทางที่สามารถช่วยให้พวกเรา “คิด” ปรับดวงใจ หรือปลงได้อยู่เช่นเดียวกัน ดังต่อไปนี้
การยึดว่าเป็นของพวกเรา : พิจารณาไหมว่า หลายเรื่องถ้าเกิดคือปัญหาผู้อื่น พวกเราจะนึกออกได้เร็ว ก็ทำแบบงั้นสิ, คิดแบบงี้สิ, จนถึง ก็ตามมันสิ ซึ่งโน่นเพียงแต่เพราะเหตุว่า มันไม่ใช่ปัญหาของพวกเรา ที่ตรงนี้ล่ะ หากทดลองคิดเสมือนว่านี่ไม่ใช่ปัญหาของพวกเราบ้าง พวกเราก็บางครั้งก็อาจจะวางใจได้ดียิ่งกว่า หรือในมุมที่ว่า “ผู้ใดกันแน่เขาก็พบกันปัญหาอย่างนี้” ก็มองไม่ได้ต่างอะไรกัน เนื่องจากว่ามั่นใจว่าไม่มีปัญหาใด ที่ไม่มีผู้ใดในโลก ไม่เคยพบไม่ผ่าน เช่นไรย่อมมีคล้ายคลึงกันทั้งหมดทั้งปวง
การยินยอมรับ : บางทีอาจเป็นคำกว้างๆแต่ว่านั่นก็คือพาตนเองหลุดออกมาจากอะไรบางอย่าง บางเหตุการณ์ เนื่องจากว่าหลายเรื่องที่พวกเราเครียด เหตุผลจริงๆเป็นพวกเรา “ปฏิเสธ” หรือรับมิได้ สำหรับเพื่อการที่มันจะไม่อย่างเดิม ยกตัวอย่างเช่น จำต้องเสียสิ่งนั้นไป, ขาดสิ่งนี้ไป ไม่ว่าจะเป็น คน ข้าวของ หรือเกียรติ ทั้งๆที่รู้สึกตัวหรือเปล่ารู้สึกตัว เมื่อพวกเราสารภาพมิได้ก็เลยเครียด ต่อนี้ไปการจะเห็นด้วย จะคิดในทางไหนก็ตาม เพียงแค่จำต้องมองดูให้ออกว่า ในที่สุดพวกเราก็จำเป็นต้องไปต่อในแบบของพวกเราบนทางที่มัน “ไม่ดังเดิม” จะอนาถาลง จะทุกข์ยากลำบากขึ้น หรือจะต้องลำพัง ชีวิตพวกเราก็จำต้องไปให้ได้ในทางนี้ นี่เป็นวิถีของการยินยอมรับว่า “มันไม่อย่างเดิม” แล้ว และไม่มีอะไรอย่างเดิมไปชั่วนิจนิรันดร์อยู่ดี
กลับมาอยู่กับตนเอง : ที่ไม่ใช่หมายความว่าการอยู่ตามลำพัง หรือการขังตนเอง แต่ว่ามันก็เสมือนการรวมหลายแบบเข้าด้วยกัน เพราะว่ามันเป็นประเด็นการปรับหัวใจ การปลง โดยการย้อนมองดู ไตร่ตรองตัวว่า พวกเราเป็นเพียงแต่มนุษย์ เป็นเพียงแต่ 1 ในหลายพันล้าน ที่อะไรบางอย่างคล้ายคลึงกัน อะไรบางอย่างไม่เหมือนกัน พวกเราล้วนมีความ “พิเศษ” ในตนเอง แม้กระนั้นมันก็มิได้ทำให้ “ยอดเยี่ยม” เหนือผู้ใดกันในอีกด้านเหมือนกัน โดยเหตุนั้นการจะสำคัญตนเองในแบบเกินความสามารถ มันก็ใจดำกับพวกเราเองมากมายไป แม้กระนั้นการจะพูดว่าพวกเราไม่มีค่า ก็ไม่แฟร์ด้วยเหมือนกัน มันอาจจะไม่มีคำไหนดีมากยิ่งกว่า ชีวิตจำเป็นต้องก้าวเดินต่อไป…